Microsoft เฉือน Apple ขึ้นอันดับ 1 บิ๊กเทค ชัยชนะ “ซอฟต์แวร์เอไอ”?
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มูลค่าของบริษัท Microsoft Corp. ได้พลิกขึ้นมาเป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก เฉือน Apple Inc. ซึ่งรั้งบัลลังก์นี้มานานกว่า 2 ปี หากมองลงไปให้ลึกกว่านั้น นี่จะเป็นสัญญาณของการแข่งขันครั้งใหม่ในโลกเทคโนโลยี ที่บริษัทเทคทั้งหลายต้องนำ “ซอฟต์แวร์เอไอ” มาปรับสู่มือประชากรโลกให้ง่ายและเปลี่ยนวิธีการใช้ “อุปกรณ์” ในชีวิตประจำวัน
แน่นอนว่า “บิ๊กเทค” ที่ยังคงล้าหลังในการ “Implement” ซอฟต์แวร์เอไอสู่ตลาดผู้ใช้บริการทั้งคอนซูเมอร์ทั่วไป และองค์กรขนาดน้อยใหญ่ จะทำให้เกิดความเสี่ยงด้านรายได้ ในภาวะกำลังซื้อตีบตันจากภาวะเศรษฐกิจซบเซาของโลก
ผู้ที่ตกที่นั่งลำบากเห็นจะเป็น Apple inc. ที่เป็น “ผู้ผลิต” และ “จำหน่าย” อุปกรณ์หรือฮาร์ดแวร์สำคัญอย่าง iPhone และอื่น ๆ ที่ล่าสุดยุบทีม “Data Operations Annotations” ซึ่งเป็นทีมงานที่ทำงานด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ Siri หรือผู้ช่วยสั่งการด้วยเสียงของ Apple ในเมืองซานดิเอโก รัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งการตัดสินใจครั้งนี้ส่งผลกระทบกับพนักงานจำนวน 121 คน
“บิ๊กเทค” ปรับทัพ
การยุบทีมดังกล่าว เกิดขึ้นหลังการทุ่มเงินลงทุน 1พันล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ Generative AI ที่ Apple ได้ประกาศในปีที่ผ่านมา
เมื่อดูตัวเลขรายได้ในปี 2566 ที่ผ่านมา ยอดขายของ Apple ลดลง 4 ไตรมาสติดต่อกัน โดย 3 ไตรมาสแรกก่อนการนำ iPhone15 ออกจำหน่าย สถานการณ์ซีโร่โควิดในประเทศจีนกระทบต่อการผลิตโดยตรง รายได้จาก iPhone ลดลง 2% จากปีก่อนหน้าเหลือ 3.9 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
รายได้จาก Mac 6.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 7% จากปีก่อนหน้ารายได้จาก iPad 5.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 20% จากปีก่อนหน้า รายได้จากสินค้าอื่น ๆ เช่น Apple Watch 8.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 2% จากปีก่อนหน้า รายได้จากบริการต่าง ๆ 2.1หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่ม 8% จากปีก่อนหน้า
เมื่อหักลบกลบกันแล้วแม้ “ยอดขาย” ลดลง แต่ “กำไร” ยังคงโตอยู่ 2% จากผลิตภัณฑ์และบริการอื่น ๆ
ขณะที่ไตรมาส 4/2566 รายได้ของ Apple ลดลงอีก 0.7% ซึ่งเกิดจากการขายของได้น้อยลงในเอเชีย-แปซิฟิก และยุโรป แม้ “ทิม คุก” ซีอีโอ Apple มองว่า เมื่อ iPhone15 วางจำหน่ายหลังเดือน ก.ย. 2565 แล้วจะนำยอดขายในเอเชียกลับมาได้ แต่นักลงทุนกลับเทขายหุ้นออกมา ทำให้หุ้น Apple เริ่มร่วง 2-3%
สถานการณ์ซ้ำกับ เมื่อในประเทศจีนได้เปิดตัวมือถือแห่งชาติ อย่าง Huawei mate 60Pro ที่แสดงความพยายามฝ่าการกีดกันทางเทคโนโลยีด้วยชิปรุ่นใหม่ ทั้งกระแสห้ามใช้ iPhone ในหน่วยงานราชการ คาดว่าจะสะเทือนตัวเลขรายได้ 1 ปีงบฯ 2567 (ในช่วง ต.ค.-ธ.ค. 2566) ที่จะเปิดเผยในช่วงปลาย ม.ค.นี้
เมื่อดูส่วนแบ่งการตลาดสมาร์ทโฟน ปรากฏว่า iPhone สามารถล้มแชมป์ Samsung และครองส่วนแบ่งกว่า 20.1% ส่งมอบ 234.6 ล้านเครื่อง ขณะที่ Samsung อยู่ที่อันดับสอง 19.4% ส่งมอบ 226.6 ล้านเครื่อง
แต่ในภาพรวมการส่งมอบสมาร์ทโฟนทั่วโลกในปี 2566 อยู่ที่ 1.17 พันล้านเครื่อง ลดลงจากปีก่อนหน้า 3.2% ซึ่งมีผลมาจากสภาพเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัว และปัญหาสินค้าค้างสต๊อกที่ลากยาวมาตั้งแต่ช่วงต้นปี สะท้อนว่ากำลังซื้อฮาร์ดแวร์หรืออุปกรณ์ส่วนบุคคลยังอยู่ในภาวะซบเซา
ตัวเลขรายได้และกำไรของ Apple ยังต้องพึ่งพาสินค้าอื่น หรือ “บริการ” จากการสมัครใช้งานที่เป็น “ซอฟต์แวร์” หลังการขายเครื่องในระบบนิเวศปิดของระบบปฏิบัติการของ Apple อย่าง iOS-MacOS ซึ่งกำลังถูกท้าทายด้วย “บริการ” จากซอฟต์แวร์ในระบบนิเวศที่ใหญ่กว่าอย่าง “Android-Windows” ที่มาพร้อมกับ AI พร้อมใช้
ดังนั้นสถานการณ์นี้ตรงกันข้ามกับ Microsoft Corp. ที่มูลค่าทำจุดสูงสุดตลอดกาลในปีที่ผ่านมา พร้อมกับได้พันธมิตรอย่าง OpenAI ที่ได้โชว์ศักยภาพของ Generative AI ให้โลกเห็นว่ามีทั้งความน่าทึ่งและน่าสะพรึงกลัว
Microsoft เร่งดึงเทคโนโลยีใหม่นี้เข้ามาใส่ในผลิตภัณฑ์ของตนทุกอย่าง เริ่มต่อนจากเสิร์ชเอนจิ้นอย่าง Bing ลามไปสู่ MS Office ซึ่งเป็นชุด “ซอฟต์แวร์” หลักของโลกการทำงานยุคใหม่ ที่ทำให้ Windows OS แ พร่กระจายไปทั่วโลก
และ Microsoft Corp. กลายเป็นบริษัทอันดับหนึ่งของโลกไอทีมายาวนานตั้งแต่หลังวิกฤต ฟองสบู่ดอตคอม มาจวบจน “iPhone” วางจำหน่ายและเริ่มเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์เทคโนโลยีจากระบบปฏิบัติการพีซี สู่ ระบบปฏิบัติการบนมือถือ “สมาร์ทโฟน”
ซอฟต์แวร์เพิ่ม Productivity
แม้ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา MS Office จะถูกท้าทายด้วยซอฟต์แวร์ Productivity ใหม่ ๆ ที่ใช้ “ฟรี” จากฝั่ง Google ไม่ว่าจะเป็น Doc, Sheet, Slide และอื่น ๆ MS Office ก็ยังคงเป็นกระดูกสันหลังของหลาย “องค์กร” และเปลี่ยนจากการขายสำเร็จสู่การทำโมเดลเก็บค่าบริการรายเดือนจากผู้ใช้
MS office สำหรับองค์กรจึงเป็นเป้าหมายแรกที่ Generative AI จะเข้าไปแฝงฝังทำงานอยู่ในชื่อ Microsoft CoPilot และจะมีการเก็บค่าบริการเพิ่ม โดยได้กางโรดแมป เริ่มทดลองใช้ Copilot ในองค์กรบางแห่งไปแล้วในช่วงกลางปีที่ผ่านมาและจะเริ่มขยายสู่องค์กรทั่วไป และผู้ใช้งานรายบุคคลภายในปีนี้
เมื่อพิจารณาจากจำนวนฮาร์ดแวร์ ผู้ใช้ และองค์กรทั่วโลกแล้ว การเก็บค่าบริการเพิ่มเป็น 30 เหรียญสหรัฐต่อเดือนจะสร้างมูลค่ามหาศาล
ยังไม่รวมถึงปริมาณการใช้เอไอที่มากขึ้น สร้างความต้องการด้านการประมวลผลสูงขึ้นทั่วโลก ผู้ให้บริการคลาวด์ อย่าง Google, Amazon Web Services และ Microsoft จะได้รับอานิสงส์อย่างสูง โดยเฉพาะใน OpenAI นั้นใช้คลาวด์ AZURE ของ Microsoft แต่เพียงผู้เดียว
นักวิเคราะห์มองว่า Microsoft จะรายงานรายได้เพิ่มขึ้น 16% เป็น 6.1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ โดยได้แรงหนุนจากการเติบโตอย่างต่อเนื่องในธุรกิจคลาวด์
เช่นเดียวกับคลาวด์ ความต้องการด้าน “ฮาร์ดแวร์” สำหรับทำดาต้าเซนเตอร์และหน่วยประมวลผลขั้นสูงอย่าง NVIDIA ก็เติบโตขึ้นทำ All Time high ในปีที่ผ่านมา และดันมูลค่าบริษัทเข้าสู่การเป็น “บิ๊กเทค” 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ
เทรนด์บริษัทเทคโนโลยี “ฮาร์ดแวร์” จึงดูจะไม่โน้มเอียงมาทาง Consumer รายเล็กรายน้อย ที่เป็นลูกค้ากลุ่มใหญ่ของ Apple เท่าใดนัก คงเหลือแต่ “ซอฟต์แวร์เอไอ” ที่จะดึงดูดผู้ใช้มากขึ้น โดย MS CoPilot จะเป็นตัวเปลี่ยนคอมพีซีที่ใช้ Windows ให้กลายเป็น PC-AI ไปแล้ว ส่วนฝั่งสมาร์ทโฟนอย่าง Samsung ที่เปิดตัวซีรีส์ Galaxy S24 ไปล่าสุดก็นำ Gen AI ใส่เข้าใน “ฮาร์ดแวร์” เปลี่ยนมือถือเป็น “AI-Phone” ไปแล้ว
นี่เป็นการเปิดยุคใหม่จาก ฮาร์ดแวร์-ระบบปฏิบัติการ สู่ ฮาร์ดแวร์-ระบบปฏิบิตการ-ซอฟต์แวร์เอไอ และเป็นการเฉือนชนะของบริษัทเทคโนโลยีที่สามารถปรับใช้ “ซอฟต์แวร์เอไอ” ในอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ และชีวิตประจำวันของมนุษย์